วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ Spyware, Adware


Spyware ถือได้ว่าเป็นภัยอย่างหนึ่งในการใช้งานในระบบเครือข่าย ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายส่วนบุคคล หรือเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เนื่องจากจะทำให้สูญเสียความเป็นส่วนบุคคลหรือความปลอดภัยของข้อมูล อาจกล่าวได้ง่าย ๆ คือ จะทำให้ข้อมูลส่วนตัวของคุณ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบัตรเครดิต หรือข้อมูลส่วนตัวของคุณต่างๆ เช่น ชื่อ ที่อยู่ และรายละเอียดส่วนตัวอื่นๆ ที่คุณได้ทำไว้ในคอมพิวเตอร์ ถูกส่งต่อไปยังผู้สร้างโปรแกรม


นอกจากนี้ Spyware อาจมาในอีกรูปแบบหนึ่งที่เรียกว่า Adware หมายถึงมาในรูปแบบของการแสดงป้ายโฆษณา (banner) มักจะใช้กับโปรแกรมที่เรียกว่า Shareware ซึ่งเป็นโปรแกรมที่มีการโฆษณาให้ download ไปใช้งานได้ฟรี ซึ่งถ้าผู้ใช้สนใจ สามารถสั่งซื้อเพื่อให้สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ และปราศจากป้ายโฆษณา ตัวอย่างเช่น โปรแกรม DAP+ เป็นต้น ซึ่ง Adware ส่วนใหญ่ถือว่าไม่เป็นภัยกับข้อมูส่วนตัวของคุณ


สรุปการทำงาน หรืออาการของเครื่องคอมฯที่มี Spayware


1. อาจมีป้ายโฆษณาเล็กๆ ปรากฏขึ้นมา (Adware) หรือที่เรียกว่า pop-up
2. ขโมยข้อมูลส่วนตัวในเรื่องคอมฯ ของคุณ โดยเฉพาะ username, password
3. เก็บข้อมูลการเข้าเว็บไซต์ต่างๆ และเว็บที่คุณชื่นชอบ ส่งไปยังผู้ที่ต้องการ
4. เว็บเริ่มต้นในการทำงาน ถูกเปลี่ยนไป
5. มีโปรแกรมใหม่ๆ ถูกติดตั้งขึ้นมาโดยที่ไม่ได้มีการติดตั้ง
6. ค้นหาข้อมูลใน Search Engine จะมีความแตกต่างออกไปจากเดิม
7. 9 ใน 10 ของคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ติด Spyware (ตามที่เขาเหล่ามา)


การป้องกันเบื้องต้น Spayware


1. ระวังเรื่องการ download โปรแกรมจากเว็บไซต์ต่างๆ
2. ระวังอีเมล์ ที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการแจกโปรแกรมฟรี เกี่ยวกับกำจัด spyware
3. ระหว่าง การใช้งานอินเตอร์เน็ต ถ้ามีหน้าต่างบอกให้คลิกปุ่ม Yes ระวังสักนิด อ่านรายละเอียดให้ดี อาจมี spyware แฝงอยุ่ แนะนำให้คลิก No ไว้ก่อน จะปลอดภัยกว่า
4. หน้ามีหน้าต่าง pop-up ขึ้นมา แนะนำให้คลิกตัว "X" แทนการคลิกปุ่มใด ๆ และโดยเฉพาะบริเวณป้ายโฆษณา นั่นอาจหมายถึงคุณกำลังยืนยันให้มีการติดตั้ง spyware แล้ว
5. ตรวจสอบ ด้วยโปรแกรมกำจัด spyware อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง สำหรับองค์กร แนะนำให้ตรวจสอบทุกวัน โดยเฉพาะเวลาพักทานข้าว ซึ่งถือได้ว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมมากที่สุด


การ แก้ไข สามารถใช้โปรแกรมสำหรับการตรวจและกำจัดได้ เช่น Spybot Search & Destroy, Adaware เป็นต้น ซึ่งโปรแกรมเหล่านี้เป็นฟรีแวร์ที่สามารถใช้งานได้จริง สนใจสามารถ download ไปใช้งานตามลิงค์ ด้านล่างนี้


* Spybot Search & Destroy - โปรแกรมที่ใช้ในการตรวจสอบและกำจัด
* Ad-Aware SE - โปรแกรมที่ใช้ในการตรวจสอบและกำจัด
* SpywareBlaster - โปรแกรมที่ใช้ในการป้องกัน
* SpywareGuard - โปรแกรมที่ใช้ในการป้องกัน

วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2553

คอมพิวเตอร์ขึ้นจอฟ้า เกิดจากสาเหตุอะไร


คำว่า Blue Screen คนเล่นคอม จะรู้จักดีและเป็นสิ่งที่ทุกคนกลัวไม่อยากให้เกิดกับเครื่องของตน เพราะถ้าเกิดนั้นเป็นสัญญาณบอกเหตุว่าคอมของตนเริ่มมีปัญหา แต่ที่น่าเจ็บใจคือมันบอกเป็นเลขรหัสที่เราๆ ท่านๆ ต้องงงเพราะไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอะไร และจะมีทางแก้ไขอย่างไร ผมไปอ่านเจอมาว่าแต่ละตัวมีความหมายอย่างไร ก็ลองแปลมาให้คุณๆ ได้อ่าน คิดว่าน่าจะเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหา ได้บ้าง รหัสที่แจ้งของ Blue Screen จริงๆมีเกินร้อยตัว

1.(stop code 0X000000BE) Attempted Write To Readonly Memory
สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
อาการนี้เกิดจากการลง driver หรือ โปรแกรม หรือ service ที่ผิดพลาด เช่น ไฟล์บางไฟล์เสีย ไดร์เวอร์คนละรุ่นกัน ทางแก้ไขให้ uninstall โปรแกรมตัวที่ลงก่อนที่จะเกิดปัญหานี้ ถ้าเป็นไดร์เวอร์ก็ให้ทำการ roll back ไดร์เวอร์ตัวเก่ามาใช้ หรือ หาไดร์เวอร์ที่ล่าสุดมาลง (กรณีที่มีใหม่กว่า) ถ้าเป็นพวก service ต่างๆที่เราเปิดก่อนเกิดปัญหาก็ให้ทำการปิด หรือ disable ซะ

2.(stop code 0X000000C2) Bad Pool Caller
สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
ตัวนี้จะคล้ายกับตัวข้างบน แต่เน้นที่พวก hardware คือเกิดจากอัฟเกรดเครื่องพวก Hardware ต่าง เช่น ram ,harddisk การ์ดต่างๆ ไม่ compatible กับ XP ทางแก้ไขก็ให้เอาอุปกรณ์ที่อัฟเกรดออก ถ้าจำเป็นต้องใช้ก็ให้ลงไดร์เวอร์ หรือ อัฟเดท firmware ของอุปกรณ์นั้นใหม่ และคำเตือนสำหรับการจะอัฟเดท ให้ปิด anti-virus ด้วยนะครับ เดียวมันจะยุ่งเพราะพวกโปรแกรม anti-virus มันจะมองว่าเป็นไวรัส

3.(stop code 0X0000002E) Data Bus Error
สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
อาการนี้เกิดจากการส่งข้อมูลที่เรียกว่า BUS ของฮาร์ดแวร์เสียหาย ซึ่งได้แก่ ระบบแรม ,cache L2 ของซีพียู , เมมโมรีของการ์ดจอ, ฮาร์ดดิสก์ทำงานหนักถึงขั้น error (ร้อนเกินไป) และเมนบอร์ดเสีย

4.(stop code 0X000000D1)Driver IRQL Not Less Or Equal
สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
อาการไดร์เวอร์กับ IRQ(Interrupt Request ) ไม่ตรงกัน การแก้ไขก็เหมือนกับ error ข้อที่ 1

5. (stop code 0X0000009F)Driver Power State Failure
สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
อาการนี้เกิดจาก ระบบการจัดการด้านพลังงานกับไดรเวอร์ หรือ service ขัดแย้งกัน เมื่อคุณให้คอมทำงานแบบ"hibernate" แนวทางแก้ไข ถ้าวินโดวส์แจ้ง error ไดร์เวอร์หรือ service ตัวไหนก็ให้ uninstall ตัวนั้น หรือจะใช้วิธี Rollback driver หรือ ปิดระบบจัดการพลังงานของวินโดวส์ซะ
6.(stop code 0X000000CE) Driver Unloaded Without Cancelling Pending Operations
สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
อาการไดร์เวอร์ปิดตัวเองทั้งๆ ทีวินโดวส์ยังไม่ได้สั่ง การแก้ไขให้ทำเหมือนข้อ 1

7.(stop code 0X000000F2)Hardware Interrupt Storm
สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
อาการที่เกิดจากอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ เช่น USB หรือ SCSI controller จัดตำแหน่งกับ IRQ ผิดพลาด สาเหตุจากไดร์เวอร์หรือ firmware การแก้ไขเหมือนกับข้อ 1

8.(stop code 0X0000007B)Inaccessible Boot Device
สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
อาการนี้จะมักเจอตอนบูตวินโดวส์ จะมีข้อความบอกว่าไม่สามารถอ่านข้อมูลของไฟล์ระบบหรือ boot partitions ได้ ให้ตรวจฮาร์ดดิสก์ว่าปกติหรือไม่ สายแพหรือสายไฟที่เข้าฮาร์ดดิสก์หลุดหรือไม่ ถ้าปกติดีก็ให้ตรวจไฟล์ boot.ini อาจจะเสีย หรือไม่ก็มีการทำงานแบบmulti OS ให้ตรวจดูว่าที่ไฟล์นี้อาจเขียน config ของ OS ขัดแย้งกัน
อีกกรณีหนึ่งที่เกิด error นี้ คือเกิดขณะ upgrade วินโดวส์ สาเหตุจากมีอุปกรณ์บางตัวไม่ compatible ให้ลองเอาอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นหรือคิดว่ามีปัญหาออก เมื่อทำการ upgrade วินโดวส์ เรียบร้อย ค่อยเอาอุปกรณ์ที่มีปัญหาใส่กลับแล้วติดตั้งด้วยไดร์เวอร์รุ่นล่าสุด

9. (stop code 0X0000007A) Kernel Data Inpage Error
สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
อาการนี้เกิดมีปัญหากับระบบ virtual memory คือวินโดวส์ไม่สามารถอ่านหรือเขียนข้อมูลที่ swapfile ได้ สาเหตุอาจเกิดจากฮาร์ดดิสก์เกิด bad sector, เครื่องติดไวรัส, ระบบ SCSI ผิดพลาด, RAM เสีย หรือ เมนบอร์ดเสีย

10. (stop code 0X00000077) Kernel Stack Inpage Error
สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
อาการและสาเหตุเดียวกับข้อ 9
11.(stop code 0X0000001E) Kmode Exception Not Handled
สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
อาการนี้เกิดการทำงานที่ผิดพลาดของไดร์เวอร์ หรือ service กับ หน่วยความจำ และ IRQ ถ้ามีรายชื่อของไฟล์หรือ service แสดงออกมากับ error นี้ให้ทำการ uninstall โปรแกรมหรือทำการ roll back ไดร์เวอร์ตัวนั้น
ถ้ามีการแจ้งว่า error ที่ไฟล์ win32k สาเหตุเกิดจาก การ control software ของบริษัทอื่นๆ (Third-party) ที่ไม่ใช้ของวินโดวส์ ซึ่งมักจะเกิดกับพวก Networking และ Wireless เป็นส่วนใหญ่
Error นี้อาจจะเกิดสาเหตุอีกอย่าง นั้นคือการ run โปรแกรมต่างๆ แต่หน่วยความจำไม่เพียงพอ

12.(stop code 0X00000079)Mismatched Hal
สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
อาการนี้เกิดการทำงานผิดพลาดของ Hardware Abstraction Layer (HAL) มาทำความเข้าใจกับเจ้า HAL ก่อน HAL มีหน้าที่เป็นตัวจัดระบบติดต่อระหว่างฮาร์ดแวร์กับซอฟท์แวร์ว่าแอปพลิเคชั่นตัวไหนวิ่งกับอุปกรณ์ตัวไหนให้ถูกต้อง ยกตัวอย่าง คุณมีซอฟท์แวร์ที่ออกแบบไว้ใช้กับ Dual CPU มาใช้กับเมนบอร์ดที่เป็น Single CPU วินโดว์ก็จะไม่ทำงาน วิธีแก้คือ reinstall วินโดวส์ใหม่
สาเหตุอีกประการการคือไฟล์ที่ชื่อ NToskrnl.exe หรือ Hal.dll หมดอายุหรือถูกแก้ไข ให้เอา Backup ไฟล์ หรือเอา original ไฟล์ที่คิดว่าไม่เสียหรือเวอร์ชั่นล่าสุดก๊อปปี้ทับไฟล์ที่เสีย
13.(stop code 0X0000003F)No More System PTEs
สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
อาการนี้เกิดจากระบบ Page Table Entries (PTEs) ทำงานโดย Virtual Memory Manager (VMM) ผิดพลาด ทำให้วินโดวส์ทำงานโดยไม่มี PTEs ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับวินโดวส์ อาการนี้มักจะเกิดกับการที่คุณทำงานแบบ multi monitors
ถ้าคุณเกิดปัญหานี้บ่อยครั้ง คุณสามารถปรับแต่ง PTEs ได้ใหม่ ดังนี้
1. ให้เปิด Registry ขึ้นมาแก้ไข โดยไปที่ Start > Run แล้วพิมพ์คำสั่ง Regedit
2. ไปตามคีย์นี้ HKEY_LOCAL_MACHINESYSTEMCurrentControlSetControlSession ManagerMemory Management
3. ให้ดูที่หน้าต่างขวามือ ดับคลิกที่ PagedPoolSize ให้ใส่ค่าเป็น 0 ที่ Value data และคลิก OK
4. ดับเบิลคลิกที่ SystemPages ถ้าคุณใช้ระบบจอแบบ Multi Monitor ให้ใส่ค่า 36000 ที่ Value data หรือใส่ค่า 40000 ถ้าเครื่องคุณมี RAM
128 MB และค่า 110000 ในกรณีที่เครื่องมี RAM เกินกว่า 128 MB แล้วคลิก OK
รีสตาร์ทเครื่อง

14.(stop code 0X00000024) NTFS File System
สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
อาการนี้สาเหตุเกิดจากการรายงานผิดพลาดของ Ntfs.sys คือไดร์เวอร์ของ NTFS อ่านและเขียนข้อมูลผิดพลาด สาเหตูนี้รวมถึง การทำงานผิดพลาดของ controller ของ IDE หรือ SCSI เนื่องจากการทำงานของโปรแกรมสแกนไวรัส หรือ พื้นที่ของฮาร์ดดิสก์เสีย คุณๆสามารถทราบรายละเอียดของerror นี้ได้โดยให้เปิดดูที่ Event Viewer วิธีเปิดก็ให้ไปที่ start > run แล้วพิมพ์คำสั่ง eventvwr.msc เพื่อเปิดดู Log file ของการ error โดยให้ดูการ error ของ SCSI หรือ FASTFAT ในหมวด System หรือ Autochk ในหมวด Application
15.(stop code 0X00000050)Page Fault In Nonpaged Area
สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
อาการนี้สาเหตุการจากการผิดพลาดของการเขียนข้อมูลในแรม การแก้ไขก็ให้ทำความสะอาดขาแรมหรือลองสลับแรมดูหรือไม่ก็หาโปรแกรมที่ test แรมมาตรวจว่าแรมเสียหรือไม่

16.(stop code 0Xc0000221)Status Image Checksum Mismatch
สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
อาการนี้สาเหตุมาจาก swapfile เสียหายรวมถึงไดร์เวอร์ด้วย การแก้ไขก็เหมือนข้อ 15

17.(stop code 0X000000EA) Thread Stuck In Device Driver
สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
อาการของ error นี้คือการทำงานของเครื่องจะทำงานในแบบวนซ้ำๆ กันไม่สิ้นสุด เช่นจะรีสตร์ทตลอด หรือแจ้งerror อะไรก็ได้ขึ้นมาไม่หยุด ปัญหานี้ สาเหตุอาจจะเกิดจาก bug ของโปรแกรมหรือสาเหตุอื่นๆ เป็นร้อย การแก้ไขให้พยายามทำตามนี้
1.ให้ดูที่ power supply ของคุณว่าจ่ายกำลังไฟเพียงพอกับความต้องการของคอมคุณหรือไม่ ให้ดูว่าในเครื่องคุณมีอุปกรณ์มากไปไม่เหมาะกับ power supply ของคุณ ก็ให้เปลื่ยนตัวใหม่ให้กำลังมากขึ้น ปัญหานี้ผมเคยมีประสพการณ์แล้ว 2 ครั้ง คือ
2. ให้คุณดูที่การ์ดจอว่าได้ใช้ไดร์เวอร์ตัวล่าสุด ถ้าแน่ใจว่าใช้ตัวล่าสุดแล้วยังมีอาการ ก็ให้ทำการ Rollback ไดร์เวอร์ตัวก่อนที่จะเกิดปัญหา
3. ตรวจดูการ์ดจอและเมนบอร์ดว่าเสียหรือไม่เช่น มีรอยไหม้, ลายวงจรขาด มีชิ้นสวนบางชิ้นหลุดจากตำแหน่งเดิม เป็นต้น
4. ดูที่ bios ว่าส่วนของ VGA slot เลือกโหมด 4x,8x ถูกตามสเปกของการ์ดหรือไม่
5. เช็คดูที่ผู้ผลิตเมนบอร์ดว่ามีไดร์เวอร์ตัวใหม่หรือไม่ ถ้ามีให้โหลดลงใหม่ซะ
6. ถ้าคุณมีการ์ดแลนหรือเมนบอร์ดของคุณมี on board อยู่ให้ disable ฟังก์ชั่น "PXE Resume/Remote Wake Up" โดยไปปิดที่ BIOS

18. (stop code 0X0000007F) unexpected Kernel Mode Trap
สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
อาการนี้ส่วนใหญ่จะเป็นกับนัก overclock (ผมก็คนหนึ่ง) เป็นอาการ RAM ส่งข้อมูลให้ CPU ไม่สัมพันธ์กันคือ CPU วิ่งเร็วเกินไป หรือร้อนเกินไปสาเหตุเกิดจากการ overclock วิธีแก้ก็คือลด clock ลงมาให้เป็นปกติ หรือ หาทางระบายความร้อนจาก CPU ให้มากที่สุด

19. (stop code 0X000000ED)Unmountable Boot Volume
สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
อาการที่วินโดวส์หาฮาร์ดดิสก์ไม่เจอ (ไม่ใช่ตัวบูตระบบ) ในกรณีที่คุณมีฮาร์ดดิสก์หลายตัว หนึ่งในนั้นคุณอาจใช้สายแพของฮาร์ดดิสก์ผิด เช่น ฮาร์ดดิสก์เป็นแบบ 33MB/secound ซึ่งต้องใช้สายแพ 40 pin แต่คุณเอาแบบ 80 pin ไปต่อแทน

วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Thumbs.db คือ ?


Windows มีข้อมูลเกี่ยวกับไฟล์ประเภทนี้ หน้านี้จะช่วยให้คุณพบ ซอฟต์แวร์ที่จำเป็นในการเปิดไฟล์ของคุณ เก็บงานหลายชนิดของฐาน'
ข้อมูลที่มีนามสกุลไฟล์นี้ Microsft WindowsXP ยัง cache เก็บไฟล์ภาพขนาดเล็กในฐานข้อมูล db . ไฟล์ คุณอาจค้นหาเว็บไซต์ต่อไปนี้)
สำหรับโปรแกรมและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

****
บางคนบอกว่า Thumbs.db คือไวรัส จริงๆแล้วมันไม่ใช่นะครับ จากข้อมูลด้านบน Thumbs.db เหมือนเป็นไฟล์ดาต้าเบสที่เก็บข้อมูลเกี่ยวกับ
การเปิดโฟลเดอร์ต่างๆบนคอมฯ ของเราอะไรประมาณนี้นะครับ
วิธีแก้ ในกรณีที่เราไม่ต้องการให้มี Thumbs.db อยู่ในเครื่อง
1. เปิด My Computer > ไปที่ Tools > คลิกที่ Folder Options...
2. คลิกแท็ป View > คลิกเลือกที่ Show hidden files and folders
3. นำเครื่องหมายถูกที่ Hide protected operating system files (Recommended) ออก
4. ติ๊กเครื่องหมายถูกที่ Do not cache Thumbnails > คลิก OK

อันนี้เป็นการตั้งค่าให้มองเห็นไฟล์ Thumbs.db ได้อ่ะครับ และยกเลิกการสร้างไฟล์ Thumbs.db
หลังจากตั้งค่าเสร็จ ก็ให้ search หา Thumbs.db ในเครื่องเรา แล้วลบออกให้หมดอ่ะครับ

วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553



รู้มั้ยว่าทำไม...คุณถึงติดไวรัสจากFlashDrive ทั้ง ๆ ที่คุณมีโปรแกรม Anti Virus USB !!



โดยปกติคุณเสียบ FlashDrive ผ่านทางพอท USB เมื่อคุณเสียบแล้ว หากคุณมีโปรแกรม Anti Virus USB โปรแกรมจะทำการ Scan หาไวรัสจาก FlashDrive

แต่คุณรู้มั้ยว่า...โปรแกรมเหล่านี้...ไม่สามารถฆ่าหรือกำจัดไวรัสได้ทุกตัว !!!

ยกตัวอย่างโปรแกรมที่เป็นยอดฮิตในปัจจุบัน USB Disk Security ก็ไม่สามารถฆ่าหรือกำจัดไวรัสจาก FlashDrive ได้ทุกตัวหรอก... T _ T

อาการหลัก ๆ เมื่อเราติดไวรัสจาก Flashdrive มีวิธีสังเกตุดังต่อไปนี้ครับ

1.เปิดเครื่องแล้วไม่รันเข้าวินโดร์

2.คำสั่ง Run ใน Start หายไป

3.คำสั่ง Search หายไป

4.Folder Options หายไป

5.มี Folder ที่เราไม่สร้างเกิดขึ้นมาเยอะแยะเต็มไปหมด ( Folder ซ่ำ ๆ)


6.เมื่อเปิดTask Manager (Ctrl+Alt+Del) ไม่สามารถเปิดได้หรือมีคำสั่งฟ้องขึ้นมาว่า "ใช้ได้เฉพาะ Admin" หรือเมื่อเปิดแล้วเครื่องคอมพิวเตอร์รีสตาร์ดเอง

7.เมื่อเปิดคำสั่ง Run ขึ้นมาแล้วพิมพ์ Regedit แล้วไม่มีอะไรขึ้นหรือขึ้นฟ้องว่า "สามารถใช้ได้เฉพาะ Admin" หรือเมื่อเปิดแล้วเครื่องคอมพิวเตอร์รีสตาร์ดเอง

8.เมื่อเปิดคำสั่ง Run ขึ้นมาแล้วพิมพ์ Msconfig แล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น


ส่วนใหญ่โปรแกรมที่เป็นจำพวก Anti Virus USB จะสามารถฆ่าหรือกำจัดไวรัสได้ เฉพาะไวรัสที่มีนามสกุลดังต่อไปนี้

*.exe <------------ ไวรัสส่วนใหญ่จะมีนามสกุลของตัวเองคือ .exe


*.inf <------------- ยกตัวอย่างเช่น Autorun.inf จริง ๆ แล้วไม่ใช่ไวรัส แต่เป็นตัวนำทางไปสู่การทำงานของไฟล์ไวรัสอื่น ๆ อีกที แต่เมื่อคลิกขวาก็สามารถสั่งการทำงานได้เช่นกัน โดยเมื่อคลิกขวาจะมีคำสั่งให้เลือกว่า Install

*.cmd <------------- ไวรัสตัวที่นามสกุล .cmd จะเป็นการทำงานบนดอส คุณเคยเจอมั้ย...อยู่ ๆ คลิกไฟล์ที่ไม่รู้จักแล้วขึ้นหน้าดอสดำ ๆ ขึ้นมาแล้วก็หายไป !

*.com <------------- หลักการทำงานเหมือนนามสกุล .cmd

นามสกุลไวรัสข้างต้น... โปรแกรม Anti Virus USB ส่วนใหญ่จะสามารถกำจัดหรือ Scan หาเจอได้ แต่มีไวรัสที่มีนามสกุลบางตัวที่โปรแกรม Anti Virus USB ส่วนใหญ่จะไม่รู้จัก ได้แก่...

*.scr <---------- หลักการทำงานของตัวนี้จะคล้าย ๆ กับนามสกุล

*.exe ซึ่งจริง ๆ แล้วนามสกุล

*.scr เนี้ย มันเป็นนามสกุลของ Screen saver

RECYCLE <------------ ปกติในเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วไปทุกเครื่องต้องมีโฟล์เดอร์หรือถังขยะที่มีชื่อว่า Recycle แต่....ทำไมใน Flashdrive ของเราถึงมี โฟลเดอร์ที่ชื่อว่า Recycle พูดง่าย ๆ .... ไอโฟล์เดอร์ที่มีชื่อว่า Recycle หรือ RECYCLE (จะพิมพ์ใหญ่หรือพิมพ์เล็กก็ตามถ้าอยู่ใน FlashDrive ถือว่าเป็นไวรัส !!)

-----------------------------------------------------------

ต่อไปผมจะพูดถึงวิธีสังเกตุว่า FlashDrive ของเรามีไวรัสหรือไม่ ???

1.เมื่อเสียบ FlashDrive แล้วรูปไอคอนของ FlashDrive จะต้องเป็นดังรูป ที่ 1




รูปที่ 1 สถานะรูปไอคอนปกติของ FlashDrive

-----------------------------------------------------------
2.หากเสียบ FlahDrive แล้ว ไอคอนของ FlashDrive เป็นรูปอย่างอื่นหรือเป็นดังรูปภาพ สันนิฐานไว้ก่อนเลยว่าใน FlashDrive ของคุณมีไวรัส ดังรูปที่ 2


รูปที่ 2 สันนิฐานไว้ก่อนได้เลยว่ามีไวรัสแน่ ๆ หึหึ ถึงแม้จะเป็นรูปไอคอนอื่น ๆ ก็ตามเหอ เตรียมใจไว้ได้เลย 55+

-----------------------------------------------------------
3.หากสถานะไอคอนของคุณเป็นแบบรูปที่ 1 หรือรูปที่ 2 เมื่อคุณคลิกขวาดูที่ไดร์ของคุณหากมีคำว่า Autorun หรือ Aotuplay ดังรูป เตรียมใจไว้ได้เลยว่ามีไวรัสแน่ ๆ 55+




รูปที่ 3 หาก FlashDrive เป็นดังรูปนี้ แสดงว่า อาการเข้าขั้นโคม่าเลย แหละ โฮ๊ะโฮ๊ะ
------------------------------------------------------------------

ต่อไปผมก็ขอแนะนำวิธีลบไวรัสจาก FlashDrive โดยไม่ต้องใช้โปรแกรม Anti Virus USB

ก่อนอื่นเลยนะครับ ผมอยากให้เพื่อนๆทุกคนเข้าไปที่ Start---> run--->พิมพ์ gpedit.msc แล้วกด Ok

จะแสดงหน้าต่าง Group Policy
ให้กดเครื่องหมาย +หน้า Administrative Templates แล้วไปเลือกที่ System

จากนั้นให้ไป ดับเบิ้ลคลิก Turn off Autoplay ตรงกลางหน้าต่าง Group Policy

จากแสดงหน้าต่าง Turn off Autoplay ให้คลิก Enabled แล้ว ไปเลือก All drives ตรง Turn off

Autoplay on:


จากนั้นให้กด Apply แล้ว OK
จากนั้น เมื่อเสียบ FlashDrive ในครั้งต่อไปจะไม่มีการทำงานอัตโนมัติของไวรัสอีก จึงสามารถป้องการไม่ให้ไวรัสเข้า Computer ได้ และ สามารถลบไวรัสด้วยตัวเองได้อย่างง่ายดาย เมื่อทราบถึงการปิด Autoplay แล้วเรามา ลบไวรัสกันครับ

1.วิธีการเปิดเข้าไปใน FlashDrive ห้ามเปิดด้วยการดับเบิ้ลที่ไดร์ หรือ คลิกขวาแล้วเลือก Open น่ะครับ มันอาจจะทำให้ไวรัสบางตัวที่อยู่ใน FlashDrive ทำงานได้ วิธีการเปิดเข้าไปใน FlashDrive ให้ไปตรงจุดที่ผมวงกลมไว้น่ะครับ ในภาพที่ 1 คลิก 1 ที แล้วเลือกที่ ไดร์ของ FlashDrive ของเราครับ



-----------------------------------------------------------
2.เมื่อเข้าไปใน FlashDrive แล้ว คุณต้องทำให้ระบบ Windows ของคุณเปิดโชว์ไฟล์ซ่อนทั้งหมดเสียก่อน...ที่ทำอย่างงี้ก็เพื่อ...ไวรัสส่วนใหญ่ที่อยู่ใน FlashDrive ส่วนใหญ่จะเป็นไฟล์ซ่อนครับ (ไฟล์ใส ๆ อ่ะ) วิธีการเปิดโชว์ไฟล์ซ่อน ทำดังรูป น่ะจ๊ะ

เปิด My computer ขึ้นมา แล้วไปที่ เมนูด้านบนอ่ะจ๊ะ เลือกที่ Tools ----------------> Folder Options.ล้วเลือกที่เถือบ View แล้วเซ็ตดังรูปภาพน่ะจ๊ะ (ตรงนี้ถ้าไม่มีคำสั่ง Folder Options ก็แสดงว่าคุณโดนไวรัสบางตัวเล่นงานไปแล้วครับ)




เมื่อเสร็จแล้วก็กด OK น่ะมันจะเป็นดังรูปที่ 2 หากมีไวรัสซ่อนอยู่...(ตัวอย่างจากของผมเลย)

เห็นม่ะ ใน FlashDrive ของผมมีไฟล์ 3 ไฟล์ที่ใส ๆ ขึ้นมา...นั้นล่ะครับที่ผมเรียกว่า ไวรัสที่เป็นไฟล์ซ่อน (ทั้งๆที่ผมมี Anti Virus USB น่ะยังกำจัดไม่ได้เลย)



เมื่อเจอแบบนี้แล้วอย่าเพิ่งตกใจน่ะครับ...หากต้องการให้มันหายไปก็แค่กดที่คีย์บอร์ดปุ่ม Shift ค้างไว้ แล้วกดอีกปุ่มที่ปุ่ม Delete แล้วก็กด Yes แค่นี้มันก็หายไปแล้วครับ ...

แต่ถ้าใครอยากลองของไม่ต้องลบก็ได้ครับ ลองกด Enter หรือดับเบิ้ลไฟล์ที่ซ่อนขึ้นมา...คุณก็จะได้รู้ว่า...นรกที่อยู่ในคอมมันมีอยู่จริง ๆ หึหึ

หวังว่าเพื่อน ๆ จะได้รับความรู้และความเข้าใจในเรื่องของไวรัสจาก FlashDrive


เทคนิกง่ายๆ ยืดอายุแบตเตอรี่ notebook คุณก็ทำได้ภายใน 5 นาที


ถ้ามองกันจริงๆแล้ว โน้ตบุ๊กนั้นถูกสร้างมาเพื่อช่วยให้พวกเราสะดวกสบายมากขึ้น ในเรื่องของการพกพาที่เอาติดตัวไปได้ทุกที่ ซึ่งเป็นจุดเด่นของโน้ตบุ๊ก และเป็นความแตกต่าง ที่ชัดเจนที่สุด ระหว่างโน้ตบุ๊ก และพีซีตั้งโต๊ะ (Desktop pc) ด้วยความสามารถในเรื่องของการ ทำงานนอกสถานที่ โดยไม่จำเป็นต้องเสียบปลั๊ก ทำให้โน้ตบุ๊กต้องมีแหล่งพลังงานในตัวเอง ซึ่งมีการพัฒนาไปค่อนข้างมาก ทั้งแบตเตอรี่ แบบพิเศษ รวมถึงใช้พวกของเหลว แต่ทว่าเป็นเีพียงการทำต้นแบบออกมาเท่านั้น


ในปัจจุบันโน้ตบุ๊กส่วนใหญ่ ยังคงใช้แบตเตอรี่แบบลิเทียมไอออนเท่านั้น ซึ่งก็มีข้อจำกัดในเรื่องของระยะเวลาการใช้งาน ต่อการชาร์จแบตเตอรี่ 1 ครั้ง รวมถึงอายุ ของตัวแบตเตอรี่เอง ที่มีการเสื่อมลงเรื่อยๆ ทุกวัน โดยเฉลี่ยแล้วการชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม 1 ครั้ง จะสามารถใช้งานได้นานราวๆ 2 - 3 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับขนาดแบตเตอรี่ และจำนวนเซลล์ด้วย



ดูระยะเวลาแล้ว ผมคิดว่าไม่น่าจะเพียงพอสำหรับใครหลายๆ คนที่จำเป็น ต้องใช้โน้ตบุ๊กนานๆ นอกสถานที่ซะด้วยสิ... ก่อนจะไปถึง เรื่องเทคนิคต่างๆ ตอนนี้มา ทำความรู้จักกันก่อนว่า แบตเตอรี่โน้ตบุ้คนั้นมีกี่ประเภท

1. แบตเตอรี่ นิกเกิล แคดเมียม (Ni-Cd)
2. แบตเตอรี่ นิกเกิล เมทัล ไฮไดร์ (NiMH)
3. แบตเตอรี่ ลิเธียม ไอออน ที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันมากที่สุด...
4. แบตเตอรี่ ลิเธียม พอลิเมอร์ เป็นแบตเตอรี่ที่กำลังมาแรง โดยจะมาแทนที่ลิเธียม ไอออน เนื่องจากสามารถให้พลังงานได้มากกว่า มีโน้ตบุ้คบางรุ่น นำมาใช้แล้ว อย่างเช่น Lenovo Thinkpad X300


พอเรารู้ข้อมูลเกี่ยวกับแบตเตอรี่กันไปแล้ว ทีนี้ก็มาถึง Tip ดีๆ ที่จะมาช่วยในเรื่องของ การประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ มีประมาณ 12 เทคนิคด้วยกัน มาดูกันทีละอันไปเลย



1. ควรจะปรับความสว่างของหน้าจอไม่ให้สว่างมากเกินไป เพื่อลดการใช้พลังงาน เพราะว่า จอแอลซีดีของโน้ตบุ๊ก จะใช้ไฟแบลคไลท์ ให้ความสว่างแก่ผลึกเหลวคริสตัลที่อยู่ในจอแอลซีดี และไฟแบคไลท์นี้เอง ที่กินพลังงาน เป็นจำนวนมากในอันดับต้นๆ เลยก็ว่าได้

2. ปกติถ้าเราไม่ได้ใช้งานพวกระบบ การเชื่อมต่อไร้สายต่างๆ เช่น Bluetooth , Wi-Fi ควรจะปิด (Disable) เอาไว้ เพราะอุปกรณ์พวกนี้ กินไฟใช่ย่อยเลย โดยเฉพาะ Wi-Fi นั้นกินมากเป็นพิเศษ


3. ถ้าไม่ได้อยู่หน้าเครื่องเป็นระยะเวลานาน แนะนำให้เข้าสู่โหมด standby หรือ hibernate ไว้ เพราะอุปกรณ์หลักๆ ของเครื่องจะหยุดทำงานทั้งหมด ประหยัดแบตไปได้อีกเยอะ หรือถ้าขี้เกียจมานั่งเข้าโหมด Standby ทุกครั้ง ก็ไปตั้งเวลาในส่วนของ Power Options แทนก็ได้ครับ ส่วนใครไม่อยากตั้ง ก็สามารถเข้าสู่โหมด Standby เองได้เลย

4. เปิดใช้ screen saver ้แทนการ standby หรือ hibernate แต่แนะนำว่าไม่ควรจะใช้เป็นพวกรูปภาพต่างๆ ควรใช้ เป็น blank screen เพราะจะประหยัดพลังงานมากกว่า หรือไม่ใช้เลยจะดีที่สุด

5. ควร copy ไฟล์จากแผ่น cd dvd ต่างๆไว้บน HDD ไม่เปิดจากแผ่นโดยตรง และไม่ใส่แผ่นทิ้งไว้ในเครื่อง สาเหต ุเพราะว่าทุกๆ ครั้งที่ เราสั่งให้เครื่องอ่านข้อมูลจากแผ่น มอเตอร์ของไดรฟ์ CD หรือ DVD จะทำงาน ซึ่งต้องใช้กำลังไฟ

6. ควรทำการ defragment ฮาร์ดดิสก์ เพื่อจัดเรียงไฟล์อย่างมีระบบ ลดภาระการทำงานของหัวอ่านฮาร์ดดิสก์ ที่ไม่ต้องวิ่งไปมาหลายตำแหน่ง นอกจากจะช่วยประหยัดแบตเตอรี่ได้ ยังช่วยให้เราเปิดไฟล์ต่างๆ ได้รวดเร็วกว่าเดิมอีกด้วย

7. ปิดการทำงานของโปรแกรมบางตัวที่มันจะรันเมื่อเราเข้าสู่วินโดวส์ ถ้ายังไม่ชัดเจนก็ลองนึกถึง MSN Messenger ที่โหลดเปิดหน้าจอเองทุกครั้ง หรือไม่ก็เป็นตัว Control ปรับแต่งชิปกราฟิกของ ATI ที่มักจะโหลดเข้าสู่ หน่วยความจำทุกครั้ง รวมถึงโปรแกรมบางตัวด้วย

8. เมื่อไม่ได้ใช้อุปกรณ์เชื่อมต่อ usb ต่างๆ ควรถอดออก อย่างเช่น mouse ถ้าเป็นไปได้อาจจะใช้ touch pad แทน

9. ไม่ควรเปิดเสียงลำโพง speaker ดังมาก เพราะว่าจะทำให้เปลืองแบตเตอรี่

10. ไม่ควรเปิดใช้งานหลายๆโปรแกรมในเวลาเดียวกัน เนื่องจากทำให้ memory และ cpu ทำงานหนัก

11. ดูแลรักษาแบตเตอรี่ ครั้งแรกที่ซื้อโดยควรชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็ม และไม่ค่อยปล่อยให้แบตเตอรี่หมด หรือว่าเหลือ 0% แล้วค่อยชาร์จ จะทำให้แบตเสื่อม ทางที่ดีเห็นว่าเหลือน้อยแล้ว ก็รีบชาร์จจะดีกว่า

12. บางคนอาจจะเจอปัญหาว่า ทำไมใช้โน้ตบุ้คอยู่ดีๆ ก็ดับไป ทั้งๆ ที่ก่อนเครื่องจะดับ เราก็เห็นว่ายังมีแบตอยู่ มากกว่าครึ่ง ปัญหานี้เกิดจาก ประจุค้างอยู่ในแบตเตอรี่ แก้ปัญหาโดยเมื่อเราชาร์จไปทุกๆ 30 ครั้ง ควรจะใช้ให้หมด แล้วชาร์จใหม่ทีเดียว เป็นการเคลียร์ cell battery (ปัญหานี้จะเจอได้ใน แบตเตอรี่พวก ลิเธียมไอออน ที่เราใช้ อยู่ในปัจจุบัน)



ก็เป็น 12 ทิปเทคนิคเอาไว้ให้ใช้งานกัน อ่านแล้วอาจจะมองว่าไม่สำคัญ หรืออะไรนี่ มันดูง่ายไปหรือเปล่าเวลาคับขันจริงๆ แบตจะหมด เครื่องร้องติ๊ดๆ งานจะส่ง คุณอาจจะนึกถึงบทความนี้ก็ได้